‘อนุทิน’ รับเป็นเอกสารจริง กรณี เอกสารหลุด ชี้เป็นเพียงความเห็นวิชาการ

‘อนุทิน’ รับเป็นเอกสารจริง กรณี เอกสารหลุด ชี้เป็นเพียงความเห็นวิชาการ

อนุทิน ออกมายืนยันว่า เอกสารหลุด ว่าเป็นของจริง ชี้เป็นเพียงแค่ความเห็นวิชาการ แนะถามอาจารย์กรณีปฏิเสธฉีดไฟเซอร์เจ้าหน้าที่แพทย์เข็มสาม นาย อนุทิน ชาลวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ได้ให้สัมภาษณ์กรณีที่มีเอกสารบันทึกประชุมถูกเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์และกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 4 ก.ค. ที่ผ่านมา

โดยนายอนุทินระบุว่า เอกสารดังกล่าว ก็เป็นเอกสารภายใน 

จากการประชุมของคณะกรรมการวิชาการ เราไม่ควรที่จะไปพิพากษ์ วิจารณ์เพราะเป็นเรื่องของวิชาการ ตราบใดที่ยังไม่ได้มาเป็นขั้นตอนปฏิบัติ ก็ยังไม่มีผลอะไร การประชุมคณะกรรมการวิชาการ ก็มีอาจารย์แพทย์ ซึ่งแต่ละท่านเสียสละเวลาเข้ามา แม้ไม่ได้เป็นข้าราชการในสังกัดกระทรวง หรือลูกจ้างอะไร แต่ท่านสละตัวเองเข้ามาเพื่อให้ความเห็นของตนเอง ซึ่งก็จะมีการบันทึกไว้ แต่ไม่ได้หมายความว่า จะเป็นแนวปฏิบัติ เพราะหลังจากนั้นต้องมีอีกหลายขั้นตอน ที่จะตกลงกันว่าจะปฏิบัติในแนวทางไหน

เมื่อถามว่า เป็นข้อมูลที่เป็นข้อสรุปแล้วหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เป็นเพียงความเห็นเท่านั้น ว่าแต่ละท่านมีความเห็นอย่างไร เขาก็รวบรวมมา นี่เป็นที่มาของการมีคณะกรรมการ เราจึงไม่ได้ให้ใครคนใดคนหนึ่งตัดสินใจ ส่วนจะนำวัคซีนไฟเซอร์มาฉีดเป็นเข็มที่ 3 ให้บุคลากรแพทย์หรือไม่ เป็นเรื่องวิชาการ ตนให้ความเห็นไม่ได้ รอให้คณะกรรมการวิชาการตกผลึกออกมา และตนก็พร้อมสนับสนุน เช่น ไฟเซอร์ต้องใช้น้ำเกลือผสมเพิ่มในการฉีด ตนก็จะจัดหางบประมาณในส่วนนี้มารองรับ

“ถูกต้องแล้ว กระบวนการทั้งหลายถูกต้องหมด แล้วตรงนั้นไม่ใช่บทสรุปที่จะเป็นแนวทางปฏิบัติ ยังต้องมาเข้าคณะกรรมการโรคติดต่อ เข้าคณะกรรมการวัคซีน ซึ่งไม่รู้ว่าตรงนั้น จะต้องถกเถียงกันอย่างไรอีก” นายอนุทิน กล่าว

เมื่อถามต่อว่า มีข้อความในเอกสารระบุว่า หากใช้เป็นเข็มที่ 3 ให้บุคลาการแพทย์/ด้านหน้า ก็จะถือว่าเป็นการยอมรับว่าวัคซีนซิโนแวค มีประสิทธิภาพไม่เพียงพอ นายอนุทิน กล่าวว่า ตรงนั้นต้องสอบถามไปยังอาจารย์เหล่านั้น แต่ไม่ใช่วิพากษ์วิจารณ์กันไปโดยที่ยังไม่มีแนวทางปฏิบัติหรือผลบังคับใช้

“ขอให้คนที่มีหน้าที่ได้ทำงาน เวลาวิพากษ์ วิจารณ์อะไรในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว มันก็พูดได้หมด แต่เวลาทำงาน ทุกคนมุ่งมั่นเพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับประชาชนให้มากที่สุด เขามีความเห็นอย่างไร ประโยชน์ก็ตกอยู่กับประชาชน วัคซีนซิโนแวค ก็ฉีดคนละ 2 เข็มตามที่มีการขึ้นทะเบียนไว้ ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ก็อยู่เหนือเกณฑ์ อย่างเช่นที่ภูเก็ต ผลการศึกษาก็พบว่า มีประสิทธิภาพถึง 80% ที่เมืองจีน ฉีดทั้งประเทศ ผู้นำประเทศก็ฉีด ก็ไม่เห็นว่าเขาจะมีผลอะไร เราก็ทำตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้” นายอนุทิน กล่าว

นอกจากนี้ นายอนุทินยังได้พูดถึงวัคซีนไฟเซอร์ที่จะเข้ามาในประเทศไทยจากการบริจาคของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยระบุว่า จะมีการนำมาฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อการกระตุ้นเข็มที่ 3 ว่า วัคซีนไฟเซอร์ จำนวน 1.5 ล้านโดส เกิดจากการประสานงานระหว่างรัฐบาล 2 ประเทศ เงื่อนไขการตกลงต่างๆ

#หมอไม่ทัน ผุดแคมเปญแต่งดำ ไว้อาลัยผู้เสียชีวิตโควิด

เพจเฟซบุ๊ก We,The People ได้โพสต์ข้อความเชิญชวนให้บุคลากรทางการแพทย์และประชาชนร่วมเสื้อดำ ในวันพุธที่ 7 ก.ค. นี้ เพื่อเป็นการไว้อาลัยต่อผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 พร้อมเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนวัคซีนหลักเป็นชนิด mRNA เพื่อรับมือกับโควิดสายพันธุ์ต่างๆ

โดยข้อความเฟซบุ๊กระบุว่า “จากเหตุการณ์เอกสารการประชุมเฉพาะกิจร่วมระหว่างคณะกรรมการด้านวิชาการตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค คณะทํางานวิชาการด้านบริหารจัดการและศึกษาการให้บริการวัคซีน ซึ่งเป็นการประชุมเมื่อวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา ในมติไม่ได้มีพูดถึงการฉีดวัคซีน Pfizer เพื่อเป็นการกระตุ้นเข็ม 3 ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งเป็นด่านหน้า แม้จะได้รับวัคซีนครบแล้วแต่ยังมีการติดเชื้อ COVID-19 อยู่ ยิ่งไปกว่านั้น ประชาชนส่วนมาก ยังไม่ได้รับวัคซีนเเม้แต่เข็มแรก

หมอไม่ทนจึงขอเชิญชวนทั้งประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ ร่วมสวมเสื้อดำ/ติดโบว์ดำ

ในวันพุธที่ 7 กรกฏาคม 2564 เพื่อเป็นการไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิต ผู้ที่ติดเชื้อ COVID19 และผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมด และยื่นข้อเรียกร้องต่อนายอนุทิน ชาญวีรกุล รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะ ผอ. ศบค. ดังนี้

1. นำเข้าวัคซีน mRNA ให้ได้เร็วที่สุด เเละนำมาใช้เป็นวัคซีนหลักในการป้องกันการระบาด โดยจะต้องเปิดเผยขั้นตอนการดำเนินการให้ประชาชนได้รับทราบ

2. นำวัคซีน mRNA เป็นวัคซีนฉีดกระตุ้นเข็ม 3 แก่บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าที่ต้องการฉีดทุกท่าน

3. เปิดเผยสัญญาการสั่งซื้อวัคซีน AstraZeneca และ Sinovac รวมถึงวัคซีนอื่นๆ ที่ทางรัฐบาลไทยจะทำสัญญาในอนาคต เพื่อทำให้เกิดความโปร่งใส และพิสูจน์ให้ประชาชนได้ทราบว่ารัฐบาลมีความจริงใจในการแก้ปัญหาการระบาดอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตน

4. เปิดเผยบันทึกการประชุมในการประชุมเรื่องวัคซีนและการบริหารจัดการการระบาด COVID-19 เป็นข้อมูลข่าวสารสาธารณะทั้งหมด

5. COVID-19 สามารถแพร่กระจายผ่านอากาศ การสวม N95 จึงไม่เพียงพอต่อการป้องกันการติดเชื้อ รัฐจำเป็นต้องจัดหา FFP3 หรือ N99 เพื่อป้องกันการติดเชื้อในบุคลากรทางการแพทย์

ทุกนาทีที่ล่าช้า คือชีวิตของประชาชน เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน พวกเราในฐานะบุคลากรทางการแพทย์และประชาชนกำลังจับตาดูการทำงานของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด

แนะนำ : รีวิวหนังไทย | คู่มือพ่อแม่มือใหม่ | แม่และเด็ก | เรื่องผี | แคคตัส กระบองเพชร